Investing on what in the cheap rate era
นับแต่ปี 2008 เป็นต้นมาจนปัจจุบัน ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยโลกได้ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง และทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ สหรัฐอเมริกาได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากร้อยละ 5.25 ลงมาทรงตัวที่ระดับร้อยละ 0 – 0.25 ในเดือนธันวาคม 2008 และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงสหภาพยุโรป เอเชีย หรือแม้แต่ประเทศในภูมิภาคโอเชเนียอย่างออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ที่คนมักจะมองว่าเป็นประเทศที่ดอกเบี้ยสูงก็ได้ปรับลดดอกเบี้ยมาที่ระดับร้อยละ 3 และยังมีโอกาสที่จะปรับลดลงได้อีกในปี 2552
ในส่วนของประเทศไทยก็ได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงในช่วงปลายปี 2008 จากระดับร้อยละ 3.75 สู่ระดับร้อยละ 1.25 ในปัจจุบัน ซึ่งนับว่าเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งหนึ่งเหมือนเมื่อสมัยปี 2003 ที่ผ่านมา โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ธนาคารพาณิชย์ลดลงมาสู่ระดับร้อยละ 0.50 และอัตราดอกเบี้ยฝากประจำลดลงมาสู่ระดับร้อยละ 0.75 – 1.00 หากดูจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 อันดับแรก
หลายท่านคงเกิดคำถามว่าจะนำเงินไปทำอะไรดีในภาวะดอกเบี้ยต่ำแบบนี้ คำตอบที่ตายตัวคงไม่มีเพราะการลงทุนจำเป็นต้องขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละคน โดยวันนี้ผมจะขอมาแชร์มุมมองต่อสินทรัพย์แต่ละประเภทครับ
อย่างแรกคือผมคิดว่าการลงทุนในเงินฝากประจำ หรือตราสารหนี้แบบล็อคยาวไม่น่าเหมาะ เพราะดอกเบี้ยต่ำเหลือเกิน การล็อคยาวควรทำเมื่อดอกเบี้ยสูงและมีแนวโน้มว่าดอกเบี้ยจะลดลงมากกว่า เรียกว่าถ้าไปฝากยาวตอนนี้และดอกเบี้ยขึ้นก็จะเสียโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีในอนาคตไปเยอะทีเดียว ถ้าจะฝากเงินผมว่าฝากสั้น ๆ ดีกว่าครับ แต่ถ้าฝากสั้น ๆ ดอกเบี้ยต่ำเกินไปก็คงต้องเริ่มเรียนรู้ที่จะลงทุนในสินทรัพย์ชนิดอื่น ๆ ที่เหมาะกับความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของตัวท่านเอง
ในส่วนของตลาดหุ้นผมคิดว่าการลงทุนตอนนี้เป็นจังหวะและโอกาสที่ดีเนื่องจากราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ถูก และพื้นฐานของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียยังแข็งแรง เห็นมาหลายรอบแล้วครับตลาดไทยที่ตกแรง ๆ ซึ่วมักจะมาประมาณ 10 ปีหน ตั้งแต่ปี 90 ที่ SET ตกลงมาจากประมาณ 1100 จุดมาเหลือ 500 กว่าจุด ถัดมาก็ยุคลอยตัวค่าเงินช่วงประมาณปี 95 – 97 ที่ดัชนีรูดจาก 1700 เหลือ 200 และปี 2008 ก็เป็นอีกรอบที่ดัชนีปรับลงมาจาก 900 เหลือ 380 ทั้งสามรอบที่ผ่านมาถ้าใครแข็งใจกล้าลงทุนตอนที่มันร่วงลงมาก็เรียกได้ว่าเป็น “โอกาสทอง” ในการลงทุนทีเดียวหากดูการฟื้นตัว 2 – 3 ปีหลังจากนั้น สำหรับรอบนี้หุ้นขึ้นจาก 380 มา 580 ผมว่ายังไม่สายครับ
สำหรับผู้ที่ไม่ชอบลงทุนในหุ้นผมคิดว่า “ทองคำ” น่าสนใจครับ เวลาเศรษฐกิจมีแนวโน้มไม่ดี มักจะเห็นการไหลผ่านของเงินไปสู่การซื้อทองคำอยู่เสมอ เช่นปลายปี 2008 นับแต่ Lehman Brothers ยื่นล้มละลาย และตลาดการเงินปั่นป่วนอย่างมาก ราคาทองได้ดีดตัวขึ้นอย่างแรงจาก 723 USD/Ounce มาที่ประมาณ 1,000 USD/Ounce อีกขาหนึ่งเวลาเศรษฐกิจมีแนวโน้มว่าอาจจะฟื้นตัว หรือนักลงทุนเชื่อว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว ราคาทองก็มักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเพราะคนต้องการป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายปัจจัยที่สนับสนุนต่อราคาทองครับ ไม่ว่าจะเป็นอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของประเทศอินเดีย และการสะสมทองคำในอัตราส่วนที่มากขึ้นของธนาคารกลางหลายประเทศโดยเฉพาะธนาคารกลางจีน ที่เริ่มทยอยลดการถือครองเงินสำรองเป็นเงินสกุล USD และเพิ่มสัดส่วนการถือทองคำให้มากขึ้น
สำคัญมากคือการเรียนรู้เรื่องการลงทุน และเข้าใจความเสี่ยงและโอกาสได้รับผลตอบแทนของเงินลงทุนของท่าน การหาความรู้ตรงนี้คุ้มค่าแน่นอน เพราะนอกจากจะช่วยในการบริหารเงินเก็บของคุณให้มีประสิทธิภาพ ยังสามารถช่วยดูแลทรัพย์สินในกับคนที่ท่านห่วงใยได้อีกด้วยครับ
โดย เจษฎา สุขทิศ,CFA.
ผู้จัดการกองทุน, บลจ.อยุธยา จำกัด
xxx
Wednesday, 8 July 2009
Wednesday, 8 July 2009
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment